ธุรกิจร้านสเต๊กสไตล์ตะวันตกไทยประยุกต์ รสชาติถูกปากคนไทย นำทัพด้วยเมนูเด่น “สเต๊กถาด” แฟรนไชส์น่าลงทุน บริหารงานเน้นให้แฟรนไชส์ซีต้องอยู่ได้ เปิดรับนักลงทุนค่าแบรนด์ 120,000 บาท พ่วงสัญญา 3 ปี โอกาสคืนทุนภายใน 1 ปี
PORTERHOUSE บริหารงานโดยคุณอารย จารุธาณินทร์ หนุ่มไฟแรงผู้มีใจรักในการทำอาหาร มีดีกรีด้านวิชาจัดการครัวและศิลปะการประกอบอาหาร นำความรู้มาผสมผสานพัฒนากับธุรกิจเดิม สร้างแบรนด์ใหม่ที่มีคุณภาพ โดยคุณอารยได้เล่าถึงความเป็นมาในการทำธุรกิจ ก่อนพัฒนามาเป็นร้านสเต๊ก PORTERHOUSE ในปัจจุบัน ว่า
“ก่อนหน้านี้เคยทำสเต๊กมาก่อนในชื่อแบรนด์ เลอมาแตง สเต๊กฮัท ทำในช่วงปี 54 ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวในการกินสเต๊กโดยเปิดเป็นร้านข้างทาง ซึ่งเปิดได้ประมาณ 3-4 เดือน ได้รับการตอบรับดี แต่ต้องมาเจอกับวิกฤตน้ำท่วม จึงย้ายไปขายที่อุดรธานี ซึ่งเปิดเป็นแฟรนไชส์และก็ได้รับผลตอบรับดีอีกเช่นกัน โดยมีถึง 30-40 สาขา แต่ด้วยความที่เราไม่มีความรู้เรื่องแฟรนไชส์ จึงเป็นลักษณะเหมือนการขายส่งให้ลูกค้า และปัญหาที่พบคือลูกค้ามักจะไปทำเอง เพราะซื้อจากเราได้กำไรน้อย จึงทำเองเพื่ออยากได้กำไรเยอะ ประกอบกับการที่เราไม่มีหน้าร้าน ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ไม่มีชื่อเสียง ลูกค้าจึงไปทำกันเอง แฟรนไชส์จึงค่อย ๆ ปิดตัวลง”
จากปัญหาที่พบ คุณอารยได้นำมาปรับปรุงให้แบรนด์มีคุณภาพ ทำการรีแบรนด์อัพเกรดให้สูงขึ้น มีหน้าร้านเป็นของตนเอง โดยใช้ชื่อ PORTERHOUSE พอร์เทอร์เฮ้าส์ by LE MATIN โดยเปิดให้บริการอยู่ที่ Meeting Market (เยื้องโรงพยาบาลธนบุรี 2 ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ วงแหวนปิ่นเกล้า หัวมุมทางที่จะไปบางบัวทอง) ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
โดยจุดเด่นของพอร์เทอร์เฮ้าส์นั้นอยู่ที่มาตรฐานเดิมของเลอมาแตงที่คงคุณภาพไว้ ประยุกต์กับความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่ รับประกันคุณภาพด้วยความรู้ด้านอาหารและการจัดจานจากวิทยาลัยดุสิตธานี ภาควิชาการจัดการครัวและศิลปะประกอบอาหาร ซึ่งคุณอารย จบการศึกษามาจากด้านนี้โดยตรง มีรสชาติอาหารที่อร่อยถูกปากคนไทย อีกทั้งมีการจัดจานที่สวยงาม ประกอบกับวัตถุดิบที่คัดสรรอย่างดี มีเมนูให้เลือกหลากหลายกว่า 30 เมนู เช่น สเต๊กต่าง ๆ สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา ผัดไทย หอยแมลงภู่อบชีส หอยลายอบเนยกระเทียม ฯลฯ โดยเฉพาะเมนูใหม่ที่น่าสนใจคือ สเต๊กถาด เป็นการรวมหลากหลายสเต๊กไว้ในเมนูเดียว ซึ่งเป็นเจ้าแรกในย่านพุทธมณฑล-บรมราชชนนีที่มีเมนูนี้ ตรงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบ ซึ่งเฉลี่ยขายได้ร่วม 100 ถาดต่อเดือน อีกทั้งพอร์เทอร์เฮ้าส์ยังมีการตกแต่งร้านที่สวยงาม เป็นตู้คอนเทนเนอร์แนวตะวันตกมีสไตล์ สามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ ซึ่งจุดเด่นทั้งหมดนั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง เป็นที่ดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนในรูปแบบของแฟรนไชส์
โดยรูปแบบการลงทุนแฟรนไซส์ PORTERHOUSE ร้านมาตรฐาน มีราคา 120,000 บาท สัญญา 3 ปี เป็นค่าแบรนด์โดยไม่รวมค่าก่อสร้างร้าน ซึ่งในส่วนค่าก่อสร้างนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานที่ว่าลูกค้าต้องการลักษณะไหน โดยทาง PORTERHOUSE มีทีมงานในการสำรวจประเมินราคา ออกแบบก่อสร้างและตกแต่งร้าน
สำหรับสิ่งที่ผู้ลงทุนจะได้รับเมื่อซื้อแฟรนไชส์จากพอร์เทอร์เฮ้าส์นั้นคือ
“ได้ใช้แบรนด์ พอร์เทอร์เฮ้าส์ PORTERHOUSE by LE MATIN เป็นความสำเร็จของผู้ลงทุนที่ไม่ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ เช่นหากต้องการทำสเต๊กสามารถทำได้เลย โดยทางร้านจะส่งวัตถุดิบสำเร็จรูปทุกอย่างซึ่งทำได้ไม่ยาก วัตถุดิบแช่แข็งสามารถเก็บไว้ได้นานโดยคุณภาพไม่ลดลง สะดวกในการสต็อกสินค้า ซึ่งเป็นจุดเด่นของเราในเรื่องการจัดการวัตถุดิบ นอกจากนี้เรายังมีทีมอบรมที่มีคุณภาพ ก่อนจะเปิดแฟรนไชส์ต้องมาอบรมให้ผ่านตามมาตรฐานที่เรากำหนดไว้ถึงจะเปิดได้ โดยการเรียนจะครอบคลุมทั้งหมดในเรื่องการทำอาหาร การบริการ แคชเชียร์ ฯลฯ ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน สามารถอบรมได้ทั้งเจ้าของกิจการรวมถึงตัวลูกจ้าง” คุณอารยกล่าว
franchise_%e0%b8%9e%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b9%8c-3สำหรับการสนับสนุนนั้น โดยช่วงแรกที่แฟรนไชส์ซีเปิดให้บริการ ทางแฟรนไชส์ซอจะมีทีมสนับสนุน อย่างน้อยประมาณ 15 วัน ถึง 1 เดือน ซึ่งช่วงแรกจะเป็นช่วงสับสนสำหรับผู้ที่ไม่เคยเปิดร้านมาก่อน ทั้งในเรื่องการจัดร้าน การให้บริการ จึงมีความจำเป็นที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือเพื่อให้การดำเนินงานในช่วงแรกผ่านพ้นไปได้โดยไม่มีปัญหา และสามารถให้แฟรนไชส์ซีดำเนินกิจการอยู่ด้วยตนเองได้ นอกจากนี้ยังมีการทำการตลาดช่วย ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์ หรือการลงโฆษณาทางนิตยสาร เป็นต้น
ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาซื้อแฟรนไชส์ คุณอารยอธิบายว่าต้องมีความรักในด้านการทำอาหาร รวมถึงมีความมั่นคงในเรื่องของเงินทุน
“อย่างแรกต้องมีใจรักในด้านการทำอาหาร ไม่ใช่แค่คิดอยากจะเปิด มีเงินอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ ต้องมีความรักในสิ่งที่ทำด้วย เมื่อมีความรักในงาน ก็จะมีความใส่ใจ ซึ่งความใส่ใจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์ประสบความสำเร็จ สอง เม็ดเงินในการลงทุน เพราะนอกจากค่าแฟรนไชส์และค่าเปิดร้านแล้ว เงินหมุนที่ใช้เป็นทุนสำรองในช่วงแรกก็เป็นเรื่องสำคัญ ต้องมีเงินหมุนเวียนเพื่อให้ธุรกิจคล่องตัวในช่วงเริ่มต้น”
และสำหรับในเรื่องของทำเล คุณอารยอธิบายต่อว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากลูกค้ามีทำเลอยู่แล้วก็จะมีการประเมินทำเลว่าเหมาะสมหรือไม่ กลุ่มลูกค้าเป็นอย่างไร มีจำนวนมากน้อยแค่ไหน ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ โดยทำเลที่เหมาะสมที่สุดคือตลาดนัดตอนกลางคืน เพราะตรงกับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นหรือวัยทำงาน อีกทั้งมีบรรยากาศที่เข้ากันกับสไตล์ของร้าน นอกจากนี้ยังเหมาะกับร้านในลักษณะ Stand Alone ที่สามารถขายได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งในการเลือกทำเลนั้นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากได้ที่เลที่ไม่เหมาะสมแล้วนั้น จะเป็นความเสี่ยงและจุดอ่อนของธุรกิจทำให้มีโอกาสไม่ประสบความสำเร็จได้
สำหรับจุดคุ้มทุนของธุรกิจนั้น หากรวมทั้งค่าแฟรนไชส์และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างร้านโดยประมาณที่ 500,000-600,000 บาท จะสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาประมาณ 10 เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี ซึ่งกำไรสุทธิของร้านอาหารประเภทนี้จะอยู่ที่ 30-35 % โดยขึ้นอยู่กับทำเลที่เหมาะสม ตลอดจนการบริหารที่ต้องได้ตามมาตรฐานของแฟรนไชส์
โดยหลักการบริหารงานของ PORTERHOUSE มีโครงสร้างการทำงานที่เป็นระบบ คือสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง มีชื่อเสียง หากแบรนด์ไม่มีชื่อเสียงแฟรนไชส์ซีก็จะไม่ให้ความสำคัญและไม่ทำตามเงื่อนไข จากนั้นก็เน้นให้แฟรนไชส์ซีต้องอยู่ได้ โดยตัวแฟรนไชส์ซอร์นั้นให้การสนับสนุนเต็มที่ เมื่อแฟรนไชส์ซีอยู่ได้ ก็เป็นการสร้างความมั่นคงให้กับแฟรนไชส์ซอในระยะยาว บริหารด้วยความรักในงานที่ทำ ใส่ใจในคุณภาพ ใส่ใจในตัวลูกค้า รับฟังและพร้อมนำมาพัฒนาและปรับปรุง
ส่วนแผนการพัฒนาในอนาคตจะมีการขยายสาขาออกไปในปีหน้าอีก 2-3 สาขา รวมทั้งตั้งเป้าในการขายแฟรนไชส์ซีให้ได้ 5-6 ราย เป็นเบื้องต้น ต้องการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มีความมั่นคง เพราะต้องการเน้นในเรื่องการควบคุมคุณภาพและการดูแลอย่างทั่วถึง
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 08-1626-9842 www.facebook.com/porterhouse2016
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา รับทำ SEO ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น